จดหมายเหตุวงแหวนดาวเสาร์
พ.ศ. 2153
กาลิเลโอกาลิเลอี ได้ค้นพบวงแหวนดาวเสาร์เป็นคนแรก ด้วยกล้องโทรทรรศน์กำลังขยาย 20 เท่าที่เขาสร้างขึ้นเอง ในตอนนั้น เขาเข้าใจว่านั่นเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับสองข้างของดาวเสาร์ เขากล่าวว่า "ผมได้สำรวจดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างที่สุดแล้วพบว่า มันประกอบด้วยดาวถึงสามดวง มันน่าทึ่งจริง ๆ ที่มันมิได้เป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวโดด ๆ แต่มันเป็นสามดวงที่อยู่เกือบจะแตะกัน"
พ.ศ.2155
สองปีหลังจากการค้นพบวงแหวนดาวเสาร์กาลิเลโอได้พบว่า วงแหวนนั้นได้หายไปเสียแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงเกิดจากโลกได้เคลื่อนที่ตัดระนาบวงแหวนของดาวเสาร์พอดี จึงนับว่ากาลิเลโอเป็นคนแรกที่พบปรากฏการณ์นี้
พ.ศ.2159
กาลิเลโอได้พบว่าวงแหวนนั้นเป็นรูปครึ่งวงรีสองอันมาประกบกัน ไม่ใช่วัตถุกลม ส่วนตัวดาวเสาร์นั้นยังคงกลมเหมือนเดิม
พ.ศ.2169
ดาวเสาร์ได้หันขอบของวงแหวนมายังโลกอีกครั้งแต่ไม่พบการบันทึกใด ๆ
พ.ศ.2198
คริสเตียนไฮเกนส์ ได้เสนอว่า ดาวเสาร์อาจมีวงแหวนซึ่งเป็นของแข็งล้อมรอบอยู่ วงแหวนนี้จะเป็นของแข็งแบนเรียบ และทำมุมเอียงกับระนาบสุริยวิถี เขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์กำลังขยาย 50 เท่าสำรวจ นอกจากนี้เขายังได้พบดวงจันทร์ ไตตัน ของดาวเสาร์อีกด้วย ซึ่งค้นพบเพียง 7 เดือนก่อนที่ดาวเสาร์จะหันขอบมายังโลกอีกครั้งในปีนั้น
พ.ศ.2199
โจฮันเนสเฮวีเลียส ได้ตั้งสมมุติฐานว่า วงแหวนดาวเสาร์เป็นรูปเสี้ยวสองอันติดกันเป็นรูปทรงรี
พ.ศ.2201
คริสโตเฟอร์เรน เชื่อว่า วงแหวนนั้นอยู่ติดกับดาวเสาร์ และดาวเสาร์กับวงแหวนก็หมุนรอบแกนหลักของวงแหวนนั้น และวงแหวนนี้จะบางมาก จนทำให้มองไม่เห็นเมื่อมันหันด้านข้างมายังโลก
พ.ศ.2202
คริสเตียนไฮเกนส์ ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ System Saturnium ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ตัดระนาบวงแหวนดาวเสาร์ของโลก
พ.ศ.2203
ยีนแชพีเลน ได้สันนิษฐานว่า ตัววงแหวนดาวเสาร์ประกอบด้วยหินขนาดน้อยใหญ่มากมายโคจรกันเป็นแนว แต่เนื่องจากขณะนั้นนักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าวงแหวนดาวเสาร์เป็นวัตถุตันชิ้นเดียว จึงไม่มีใครสนใจข้อเสนอของแชพีเลน จนกระทั่งอีกสองร้อยปีถัดมา แมกซ์เวลจึงได้เสนอในทำนองเดียวกัน
พ.ศ.2207
จูเซปเปแคมปานี ได้สำรวจวงแหวนและพบว่า วงแหวนด้านนอกมีความสว่างกว่าวงแหวนด้านใน แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดจากวงแหวนสองวง
พ.ศ.2214-2215
จีโอวานนีคาสซินี ได้ค้นพบบริวารดาวเสาร์สองดวง ชื่อ Iapetus กับ Rhea ซึ่งค้นพบในช่วงที่ดาวเสาร์หันด้านข้างของวงแหวนมาให้พอดี เขาค้นพบ Iapetus ในขณะที่มันอยู่ทางทิศตะวันตกของดาวเสาร์ แต่เมื่อมันโคจรไปอยู่ในด้านทิศตะวันออกเขาไม่สามารถสังเกตเห็นทั้ง ๆ ที่เขารู้ว่ามันจะต้องอยู่ที่นั่นจึงได้สันนิษฐานว่า Iapetus มีด้านหนึ่งของดาวเป็นสีดำ และหันด้านหนึ่งเข้าหาดาวเสาร์ตลอด
พ.ศ.2219
จีโอวานนีคาสซินี ค้นพบช่องว่างของวงแหวนดาวเสาร์ ซึ่งต่อมาช่องว่างนี้ก็ได้ชื่อเป็น ช่องว่างคาสซินี วงแหวนส่วนนอกมีชื่อว่า วงแหวน A ส่วนวงแหวนส่วนในซึ่งสว่างกว่ามีชื่อว่า วงแหวน B
พ.ศ.2227
คาสซินีค้นพบดาวบริวารดาวเสาร์เพิ่มขึ้นอีก2 ดวง คือ Tethys กับ Dione ซึ่งเป็นการครบรอบ 100 ปีหลังจากค้นพบดวงจันทร์ของดาวเสาร์เป็นครั้งแรก
พ.ศ.2323
วิลเลียมเฮอร์เชล พบแนวสีดำที่อยู่ด้านในของวงแหวน B เป็นไปได้ว่าสิ่งที่เขาค้นพบนั้นคือช่องว่างเองเค
พ.ศ.2330
ปิแอร์เดอ ลาปลาส ได้เสนอว่า วงแหวนดาวเสาร์น่าจะประกอบจากวงแหวนที่เป็นของแข็งและตันหลาย ๆ วงซ้อนกัน เฮอรเชลได้ค้นพบดวงจันทร์ของดาวเสาร์อีก 1 ดวง คือ Enceladus
พ.ศ.2332
ในปีนี้ได้ดาวเสาร์ได้หันด้านข้างของวงแหวนมายังโลกอีกครั้งและนับเป็นปีทองของเฮอร์เชลเลยทีเดียว เขาได้พบดวงจันทร์เพิ่มขึ้นอีก 1 ดวง คือ Mimas และยังได้เสนอว่า วงแหวนของดาวเสาร์ประกอบด้วยวงแหวนแข็ง 2 วง นอกจากนี้เขายังพบว่าดาวเสาร์นั้นมีรูปร่างแป้น คือไม่ได้มีรูปร่างกลม และยังได้ประมาณความหนาของวงแหวนเอาไว้คือ 480 กิโลเมตร และยังได้รายงานการเกิดอุปราคาของดาวบริวารอีกด้วย
พ.ศ.2333
เฮอร์เชลสามารถกำหนดคาบการหมุนรอบตัวเองของดาวเสาร์ได้คือ10 ชั่วโมง 32 นาที
พ.ศ.2368
เฮนรีเคเตอร์ ได้พบช่องว่างระหว่างวงแหวนถึง 3 ช่องในวงแหวน A แต่ไม่มีผู้ใดยืนยันการค้นพบของเขา
พ.ศ.2378
เฟรดริชเบสเซล สามารถวัดการส่ายของขั้วของดาวเสาร์(precession)ได้ คือ 340,000 ปี (ค่าตัวเลขที่วัดได้ในปัจจุบันคือ 1.7 ล้านปี)
พ.ศ.2380
โจฮันน์เองเค สำรวจแถบสีดำที่ใจกลางวงแหวน A ซึ่งแถบนี้เป็นแถบเดียวกับที่ เคเตอร์ค้นพบในปี
พ.ศ.2368 ซึ่งแถบนี้ต่อมาก็ได้ชื่อว่า ช่องว่างเองเค
พ.ศ.2391
วิลเลียมบอนด์, จอร์จ บอนด์ กับ วิลเลียม ลาสเซล ได้ค้นพบดวงจันทร์ของดาวเสาร์เพิ่มอีกคือ Hyperion ในช่วงที่โลกตัดระนาบวงแหวนดาวเสาร์ และได้วัดความหนาของวงแหวนได้ คือ 64 กิโลเมตร
พ.ศ.2392
เอ็ดดูวาร์ดโรเช ได้เสนอว่าวงแหวนของดาวเสาร์เกิดจากการที่ดวงจันทร์ดวงหนึ่งได้เข้าใกล้ดาวเสาร์มากเกินไปจนถูกแรงไทด์ ของดาวเสาร์ฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
พ.ศ.2393
วิลเลียมบอนด์และจอร์จ บอนด์ ได้ค้นพบแถบสีดำที่อยู่ที่ขอบด้านในของวงแหวน B จอร์จได้สรุปว่าถ้าวงแหวนเป็นวัตถุแข็งและตันจะไม่เสถียร ดังนั้นวงแหวนดาวเสาร์จึงต้องเป็นของไหล ต่อมาวงแหวนนี้ได้ชื่อว่า วงแหวน C
พ.ศ.2395
มีรายงานจากนักดาราศาสตร์จำนวนมากที่อ้างว่าสามารถเห็นขอบของดาวเสาร์ผ่านวงแหวนC ได้ ซึ่งเป็นการสนับสนุนทฤษฎีที่ว่าวงแหวนเป็นของไหลได้ดีเยี่ยม
พ.ศ.2399
เจมส์แมกซ์เวล สรุปว่าวงแหวนดาวเสาร์จะเป็นของตันไม่ได้ วงแหวนจะต้องประกอบด้วยอนุภาคอยู่อย่างกระจัดกระจายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
พ.ศ.2409
แดเนียลเคิล์กวูด พบว่าอนุภาคที่อยู่ในช่องว่างคาสซินีมีการเรโซแนนซ์กับคาบการโคจรของ ดวงจันทร์ Enceladus ด้วยอัตรา 3:1
พ.ศ.2415
แดเนียลเคิล์กวูด ค้นพบเพิ่มว่า ช่องว่างคาสซินีและช่องว่างเองเคนั้นมีการกำทอนร่วมกันกับดวงจันทร์บริวาร 4 ดวงคือ Mimas Enceladus Tethys และ Dione
พ.ศ.2419
มีการค้นพบจุดขาวบนดาวเสาร์โดยเอเซป ฮอลล์
พ.ศ.2426
สามารถถ่ายภาพวงแหวนดาวเสาร์ได้เป็นครั้งแรก
พ.ศ.2431
เจมส์คีเลอร์ เป็นคนแรกที่ทำการสำรวจช่องว่างเองเคอย่างละเอียด (ตัวของเองเคเองเพียงแค่ค้นพบเท่านั้น)
พ.ศ.2432
เอ็ดเวิร์ดบาร์นาร์ด สำรวจอุปราคาของดวงจันทร์ Iapetus ที่เกิดจากวงแหวนดาวเสาร์ ความสว่างของ Iapetus ลดลงเล็กน้อยเมื่ออยู่ในเงาของวงแหวน C และมืดสนิทเมื่ออยู่ในเงาของวงแหวน B เขาจึงสรุปได้ว่า
กาลิเลโอ
พ.ศ.
สองปีหลังจากการค้นพบวงแหวนดาวเสาร์
พ.ศ.
กาลิเลโอได้พบว่า
พ.ศ.
ดาวเสาร์ได้หันขอบของวงแหวนมายังโลกอีกครั้ง
พ.ศ.
คริสเตียน
พ.ศ.
โจฮันเนส
พ.ศ.
คริสโตเฟอร์
พ.ศ.
คริสเตียน
พ.ศ.
ยีน
พ.ศ.
จูเซปเป
พ.ศ.
จีโอวานนี
พ.ศ.
จีโอวานนี
พ.ศ.
คาสซินีค้นพบดาวบริวารดาวเสาร์เพิ่มขึ้นอีก
พ.ศ.
วิลเลียม
พ.ศ.
ปิแอร์
พ.ศ.
ในปีนี้ได้ดาวเสาร์ได้หันด้านข้างของวงแหวนมายังโลกอีกครั้ง
พ.ศ.
เฮอร์เชลสามารถกำหนดคาบการหมุนรอบตัวเองของดาวเสาร์ได้คือ
พ.ศ.
เฮนรี
พ.ศ.
เฟรดริช
พ.ศ.
โจฮันน์
พ.ศ.
พ.ศ.
วิลเลียม
พ.ศ.
เอ็ดดูวาร์ด
พ.ศ.
วิลเลียม
พ.ศ.
มีรายงานจากนักดาราศาสตร์จำนวนมากที่อ้างว่าสามารถเห็นขอบของดาวเสาร์ผ่านวงแหวน
พ.ศ.
เจมส์
พ.ศ.
แดเนียล
พ.ศ.
แดเนียล
พ.ศ.
มีการค้นพบจุดขาวบนดาวเสาร์โดย
พ.ศ.
สามารถถ่ายภาพวงแหวนดาวเสาร์ได้เป็นครั้งแรก
พ.ศ.
เจมส์
พ.ศ.
เอ็ดเวิร์ด